Month: มกราคม 2022

ซ่อนตัวจากพระเจ้า

ฉันหลับตาปี๋และเริ่มนับเสียงดัง เพื่อนร่วมชั้นป. 3 ของฉันวิ่งแยกย้ายออกจากห้องอย่างรวดเร็วเพื่อหาที่ซ่อน หลังจากหาตามตู้ใส่ของ หีบ และตู้เสื้อผ้าทุกหลังอยู่นาน ฉันก็ยังหาเพื่อนไม่พบสักคน ฉันรู้สึกขบขันเมื่อในที่สุดฉันก็มองเห็นเพื่อนคนหนึ่งหลังแผงเฟิร์นกระถางที่ห้อยลงมาจากเพดาน มีเพียงศีรษะของเธอที่ถูกเฟิร์นบังไว้บางส่วน แต่มองเห็นลำตัวส่วนที่เหลือของเธอได้อย่างชัดเจน!

เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญู เมื่ออาดัมและเอวา “หลบไปซ่อนตัว” (ปฐก.3:8) อยู่ในสวนเอเดน พระองค์ก็ทรง “มองเห็น” พวกเขาตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่ได้กำลังเล่นเกมแบบเด็กๆ พวกเขากำลังเผชิญกับการรู้สำนึกดีชั่วและความละอายจากการทำผิดของพวกเขาโดยการกินผลจากต้นไม้ที่พระเจ้าห้ามไว้

อาดัมและเอวาหันไปจากพระเจ้าและการจัดเตรียมอันเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์ เมื่อพวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ แต่แทนที่พระเจ้าจะทรงพิโรธและเลิกยุ่งกับพวกเขา พระองค์กลับตามหา ตรัสถามว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน”
(ข้อ 9) ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ทรงต้องการให้เขารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นห่วงและสงสารพวกเขา

ฉันไม่เห็นเพื่อนที่ซ่อนตัวอยู่ แต่พระเจ้าทรงมองเห็นและรู้จักเราเสมอ สำหรับพระองค์แล้วทรงมองเห็นเราอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงตามหาอาดัมและเอวา พระเยซูก็ทรงตามหาเราในขณะที่ “ยังเป็นคนบาป” และได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อสำแดงถึงความรักที่ทรงมีต่อเรา (รม.5:8) เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

ให้เมื่อยังมีชีวิต

นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จคนหนึ่งใช้เวลาช่วงหลายสิบปีหลังของชีวิตทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อแจกจ่ายทรัพย์สมบัติที่มี อภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งได้บริจาคเงินให้แก่โครงการที่หลากหลาย เช่น การนำสันติภาพสู่ไอร์แลนด์เหนือ และการปรับปรุงระบบการให้บริการด้านสุขภาพของเวียดนามให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน เขาจ่ายเงิน 350 ล้านดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนเกาะรูสเวลต์ของนครนิวยอร์คให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี เขากล่าวว่า “ผมเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการให้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมเห็นเหตุผลเพียงเล็กน้อยที่จะชะลอการให้... นอกจากนี้ การให้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่สนุกมากกว่าการให้เมื่อตายไปแล้ว” ให้ขณะที่คุณยังมีชีวิต นี่เป็นทัศนคติที่ยอดเยี่ยม

ในเรื่องของชายตาบอดแต่กำเนิดที่ยอห์นบันทึกไว้ สาวกของพระเยซูพยายามจะตัดสินว่า “ใครทำผิดบาป” (9:2) พระเยซูกล่าวถึงคำถามของพวกเขาเพียงสั้นๆว่า “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่...เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่” (ข้อ 3-4) แม้ว่างานของเราจะแตกต่างอย่างมากจากการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำ และไม่ว่าเราจะต้องสละสิ่งใด เราจะต้องทำด้วยใจที่พร้อมและเปี่ยมด้วยความรัก ไม่ว่าจะด้วยเวลา ด้วยทรัพย์สมบัติ หรือการกระทำ เป้าหมายของเราคือให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏ

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานให้กับเรา ให้เราตอบแทนด้วยการให้ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

รักการเรียนรู้

เมื่อชายคนหนึ่งถูกถามถึงความเป็นมาของการมาเป็นนักข่าว เขาเล่าเรื่องความทุ่มเทของแม่ต่อการศึกษาของเขาว่า ในแต่ละวันที่แม่เดินทางด้วยรถใต้ดิน แม่จะเก็บรวบรวมหนังสือพิมพ์ที่ถูกทิ้งไว้ตามที่นั่งแล้วเอามาให้เขา แม้เขาจะชอบอ่านเรื่องกีฬาเป็นพิเศษ แต่หนังสือพิมพ์เหล่านั้นทำให้เขาได้ความรู้เกี่ยวกับโลก ซึ่งในที่สุดได้เปิดใจของเขาสู่ความสนใจที่หลากหลาย

เด็กๆมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติและรักการเรียนรู้ ดังนั้น การสอนเรื่องพระวจนะให้ตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อยจึงมีคุณค่าอย่างยิ่ง พวกเขาจะรู้สึกทึ่งในพระสัญญาที่สุดแสนพิเศษของพระเจ้า และเรื่องราวน่าตื่นเต้นของวีรบุรุษในพระคัมภีร์ เมื่อความรู้ของพวกเขาหยั่งรากลึก พวกเขาจะได้เริ่มเข้าใจในผลของบาป ความจำเป็นของการกลับใจใหม่ และความปีติยินดีที่พบในการวางใจพระเจ้า ตัวอย่างเช่น บทแรกของหนังสือสุภาษิตเป็นบทที่ดีมากๆที่พูดถึงประโยชน์ของปัญญา (สภษ.1:1-7) ขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่พบที่นี่ฉายแสงแห่งความเข้าใจถึงสถานการณ์จริงของชีวิต

การพัฒนาความรักในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความจริงฝ่ายวิญญาณจะช่วยเราให้เติบโตในความเชื่อ ผู้ที่ดำเนินในความเชื่อมาเป็นเวลาหลายสิบปีสามารถเสาะแสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้าได้ตลอดชีวิต สุภาษิต 1:5 สอนว่า “ปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้” พระเจ้าจะไม่ทรงหยุดสอนเรา ถ้าเรายอมเปิดใจและความคิดต่อการทรงนำและคำสอนของพระองค์

จงตื่นอยู่!

พนักงานธนาคารชาวเยอรมันคนหนึ่งเผลองีบหลับที่โต๊ะทำงานขณะกำลังโอนเงินจำนวน 62.40 ยูโรจากบัญชีลูกค้าธนาคารรายหนึ่ง เขาหลับไปขณะที่นิ้วอยู่บนแป้นเลข “2” ทำให้เงินจำนวน 222 ล้านยูโร (ราว 8,300 ล้านบาท) ถูกโอนไปยังบัญชีลูกค้าคนนั้น ผลจากความผิดพลาดดังกล่าวทำให้เพื่อนร่วมงานผู้ที่รับรองการโอนถูกไล่ออกด้วย แม้จะมีการตรวจพบและแก้ไขความผิดพลาดนั้น แต่ความพลั้งเผลอของพนักงานผู้ง่วงเหงาหาวนอนเกือบจะกลายเป็นฝันร้ายของธนาคารเพราะเขาไม่ระมัดระวัง

พระเยซูทรงเตือนสาวกของพระองค์ว่าถ้าพวกเขาไม่ระแวดระวังอยู่เสมอ พวกเขาก็จะผิดพลาดอย่างร้ายแรงเช่นกัน พระองค์ทรงนำพวกเขาไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเกทเสมนี เพื่อใช้เวลาอธิษฐาน ขณะทรงอธิษฐานนั้น พระเยซูทรงมีความทุกข์และเศร้าใจอย่างที่ไม่เคยทรงพบเจอมาก่อนในชีวิตบนโลกนี้ของพระองค์ พระองค์ทรงบอกเปโตร ยากอบ และยอห์นให้คอยอยู่และอธิษฐาน และ “เฝ้าอยู่” กับพระองค์ (มธ.26:38) แต่พวกเขาก็หลับไป (ข้อ 40-41) การที่พวกเขาไม่คอยเฝ้าอยู่และอธิษฐานจะทำให้พวกเขาไม่สามารถป้องกันตนเองได้เมื่อการทดลองให้ปฏิเสธพระเยซูมาถึง ในเวลาที่พระคริสต์ทรงต้องการมากที่สุด สาวกกลับขาดการระแวดระวังฝ่ายวิญญาณ

ขอให้เราใส่ใจในคำตรัสของพระเยซูที่ให้เราตื่นตัวฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ โดยอุทิศทุ่มเทให้กับการใช้เวลากับพระองค์ในการอธิษฐาน เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว พระองค์จะทรงเสริมกำลังเราให้ต้านทานการทดลองทั้งหลาย และหลีกเลี่ยงจากความผิดพลาดร้ายแรงคือการปฏิเสธพระเยซู

ของขวัญล้ำค่าของความรัก

ขณะที่เจฟฟ์ลูกชายผมกำลังออกจากร้าน เขาเห็นอุปกรณ์ช่วยเดินถูกทิ้งอยู่บนพื้น หวังว่าจะไม่มีใครที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ด้านหลังนั้นนะ เขาคิด เขามองไปด้านหลังตึกและพบชายไร้บ้านคนหนึ่งหมดสติอยู่บนทางเดิน

เจฟฟ์ปลุกเขาและถามว่าเป็นอะไรไหม “ผมพยายามจะดื่มให้ตายไปเลย” เขาตอบ “เต็นท์ผมพังเพราะพายุ ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่”

เจฟฟ์โทรศัพท์ไปที่สถานบำบัดของคริสเตียนแห่งหนึ่ง ขณะรอการช่วยเหลืออยู่นั้น เขารีบกลับไปที่บ้านและนำเอาเต็นท์พักแรมของเขามาให้ชายคนนั้น “คุณชื่ออะไร” เจฟฟ์ถาม ชายไร้บ้านตอบว่า “เจฟฟรี่ สะกดด้วยตัวจี” เจฟฟ์ไม่ได้บอกชื่อของตนกับชายคนนั้นและไม่ได้พูดถึงการสะกดชื่อแบบไม่ธรรมดานั้นด้วย เขาบอกผมภายหลังว่า “พ่อครับ นั่นอาจเป็นผมก็ได้”

เจฟฟ์เองเคยต่อสู้กับการใช้สารเสพติด และเขาช่วยชายคนนั้นเพราะความเมตตาที่เขาได้รับจากพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวถ้อยคำเพื่อทำนายถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่จะมาถึงเราผ่านทางพระเยซูว่า “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน” (อสย.53:6)

พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของเราไม่ได้ทรงปล่อยให้เราหลงอยู่ตัวคนเดียวอย่างไร้ซึ่งความหวัง พระองค์ทรงเลือกที่จะเอาใจเราไปใส่ใจของพระองค์และยกเราขึ้นด้วยความรัก เพื่อเราจะได้รับอิสรภาพเพื่อมีชีวิตใหม่ในพระองค์ ไม่มีของขวัญใดจะล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

ฝ่าพายุ

พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงพัดถล่มเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีในเย็นวันที่ 3 เมษายน 1968 ศจ.ดร มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์รู้สึกอ่อนล้าและไม่สบาย เขาไม่ได้เตรียมใจที่จะกล่าวสุนทรพจน์ที่เตรียมไว้ที่คริสตจักรเพื่อสนับสนุนคนงานขนขยะที่ประท้วงหยุดงาน แต่เขาต้องประหลาดใจกับโทรศัพท์ด่วนที่แจ้งว่ามีคนจำนวนมากได้ลุยฝ่าสภาพอากาศอันเลวร้ายมาเพื่อจะฟังเขา เขาจึงไปยังห้องโถงและพูดเป็นเวลาสี่สิบนาทีในหัวข้อ “ข้าพเจ้าได้ไปถึงยอดเขา” ซึ่งบางคนถือว่าเป็นสุนทรพจน์ที่ดีที่สุดของเขา

วันต่อมาคิงถูกลอบยิงและเสียชีวิต แต่สุนทรพจน์ของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจให้บรรดาผู้ถูกกดขี่มีความหวังใน “ดินแดนแห่งพระสัญญา” เช่นเดียวกับผู้ติดตามพระเยซูกลุ่มแรกๆที่ได้รับการหนุนน้ำใจจากข้อเขียนที่ทำให้ฮึกเหิม หนังสือฮีบรูได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อหนุนน้ำใจผู้เชื่อชาวยิวที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามเพราะความเชื่อในพระคริสต์ และได้มอบกำลังฝ่ายวิญญาณอันเข้มแข็งไม่ให้พวกเขาสิ้นหวัง ดั่งคำเรียกร้องว่าจง “ยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น” (12:12) ในฐานะชาวยิว พวกเขาจำได้ว่าคำวิงวอนนั้นแต่เดิมมาจากผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ (อสย.35:3)

แต่บัดนี้ในฐานะสาวกของพระคริสต์ เราได้ถูกเรียกให้ “วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่กำหนดไว้สำหรับเรา หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์” (ฮบ.12:1-2) เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว เรา “จะได้ไม่รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 3)

แน่นอนว่าพายุและฝนฟ้าคะนองรอคอยเราอยู่ในชีวิตนี้ แต่ในพระเยซู เราจะรอดพ้นมรสุมแห่งชีวิตได้โดยการยืนหยัดในพระองค์

ความมืดและความสว่าง

เวลานั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ฉันได้เห็นตัวอย่างมากมายถึงโลกที่แตกสลายนี้ ลูกสาวบาดหมางกับแม่ สามีและภรรยาสูญเสียความรักที่เคยมีและบัดนี้เหลือเพียงความขมขื่นต่อกัน สามีที่ปรารถนาจะคืนดีกับภรรยาและกลับมาอยู่ร่วมกับลูกๆ พวกเขาจำเป็นต้องมีหัวใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง บาดแผลที่ได้รับการเยียวยา และให้ความรักของพระเจ้ามีชัยชนะ

บางครั้งเมื่อโลกรอบตัวเราดูเหมือนจะมีแค่ความมืดและความสิ้นหวัง การหมดซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นได้ง่ายดาย แต่แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อในพระคริสต์ (ยน.14:17) ได้เตือนเราว่า พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อความเสื่อมสลายและความเจ็บปวดนั้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในโลกในฐานะมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำเอาแสงสว่างเข้ามาในความมืด (1:4-5; 8:12) ดังจะเห็นได้จากการสนทนาของพระเยซูและนิโคเดมัส ผู้ซึ่งลอบมาหาพระองค์ในความมืดแต่กลับออกไปโดยได้รับอิทธิพลของแสงสว่าง คือพระเยซู (3:1-2; 19:38-40)

พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัสว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (3:16)

ถึงแม้ว่าพระเยซูได้นำแสงสว่างและความรักเข้ามายังโลกนี้ หลายคนยังคงหลงอยู่ในความมืดแห่งบาปของตน (ข้อ 19-20) ถ้าเราเป็นผู้ติดตามพระองค์ เราก็มีความสว่างที่จะขับไล่ความมืดได้ ให้เราอธิษฐานร่วมกันด้วยใจขอบพระคุณ ที่พระเจ้าจะทรงทำให้เราเป็นตะเกียงแห่งความรักของพระองค์ (มธ.5:14-16)

ได้ชีวิตโดยความตาย

คาร์ลกำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งและจำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายปอดสองครั้ง เขาขอปอดใหม่จากพระเจ้าแต่กลับรู้สึกไม่ดีที่ทำเช่นนั้น เขาสารภาพว่าเป็นเรื่องแปลกที่จะอธิษฐานแบบนั้นเพราะ “บางคนต้องตายเพื่อให้ผมมีชีวิต”

สถานการณ์ที่ยากลำบากของคาร์ลชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความจริงพื้นฐานของพระคัมภีร์ คือพระเจ้าทรงใช้ความตายเพื่อมอบชีวิต เราเห็นเรื่องนี้ในพระธรรมอพยพ ชนชาติอิสราเอลที่เกิดเป็นทาสต้องทนทุกข์ภายใต้การกดขี่ของชาวอียิปต์ ฟาโรห์ไม่ยอมปล่อยพวกเขาจนกระทั่งพระเจ้าทรงทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว ลูกชายคนโตทุกคนต้องตายเว้นแต่ในครอบครัวจะฆ่าลูกแกะที่ไม่มีตำหนิและทาเลือดแกะที่วงกบประตู (อพย.12:6-7)

วันนี้คุณและผมเกิดมาในพันธนาการของความบาป ซาตานไม่ยอมปลดปล่อยเราจนกระทั่งพระเจ้าทรงทำให้เป็นเรื่องส่วนตัวของพระองค์ โดยทรงยอมสละองค์พระบุตรผู้สมบูรณ์แบบบนไม้กางเขนที่เปื้อนไปด้วยพระโลหิต

พระเยซูทรงเรียกเราให้เข้าร่วมกับพระองค์ที่นั่น เปาโลอธิบายว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”(กท.2:20) เมื่อเราเชื่อในลูกแกะที่ไร้ตำหนิของพระเจ้า เราก็ได้ยอมตายร่วมกับพระองค์ทุกวัน คือตายจากบาปของเราเพื่อจะฟื้นสู่ชีวิตใหม่ร่วมกับพระองค์ (รม.6:4-5) เราประกาศความเชื่อนี้ทุกครั้งเมื่อเราปฏิเสธโซ่ตรวนของความบาป และยอมรับอิสรภาพของพระคริสต์ เราจะไม่มีวันมีชีวิตได้มากไปกว่าเมื่อเรายอมตายกับพระเยซู

ทำตามสิ่งที่คุณสอน

ฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ให้พวกลูกชายของฉันฟังเมื่อตอนที่เซเวียร์ลูกคนสุดท้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล ฉันมองหาโอกาสที่จะสอนและแบ่งปันข้อพระคำที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ และหนุนใจให้พวกเขาอธิษฐานร่วมกับฉัน เซเวียร์ท่องจำข้อพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องพยายาม เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและต้องการสติปัญญา เขามักจะโพล่งข้อพระคำที่ฉายแสงแห่งความจริงของพระเจ้า

วันหนึ่งฉันโกรธมากและพูดอย่างรุนแรงซึ่งเขามาได้ยินเข้า ลูกชายเข้ามากอดฉันและพูดว่า “ทำตามสิ่งที่แม่สอนนะครับ แม่”

คำเตือนที่อ่อนโยนของเซเวียร์สะท้อนคำแนะนำที่เต็มด้วยสติปัญญาของยากอบ เมื่อท่านพูดกับชาวยิวที่เชื่อในพระเยซูที่อยู่กระจัดกระจายในหลายประเทศ (ยก.1:1) ท่านเน้นถึงหลากหลายวิธีที่ความบาปสามารถขัดขวางการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ของเรา ยากอบหนุนใจพวกเขาให้ “น้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น” (ข้อ 21) การที่ได้ยินพระวจนะแต่ไม่เชื่อฟัง เราก็เหมือนคนที่ดูหน้าตัวเองในกระจกเงาแล้วก็ลืมว่าตัวเองเป็นอย่างไร (ข้อ 23-24) เราอาจมองไม่เห็นสิทธิพิเศษที่เราได้รับในฐานะผู้ที่ผดุงพระฉายาของพระเจ้า ที่ได้คืนดีกับพระองค์โดยพระโลหิตของพระคริสต์

ผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนได้รับคำสั่งให้แบ่งปันพระกิตติคุณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงเราในขณะที่เสริมกำลังเราให้เป็นตัวแทนและผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ดีขึ้น เมื่อการเชื่อฟังด้วยความรักของเราช่วยเราให้สะท้อนแสงสว่างแห่งความจริงและความรักของพระเจ้าในทุกแห่งที่พระเจ้าทรงใช้เราไป เราก็สามารถนำผู้อื่นมาถึงพระเยซูได้โดยการทำตามสิ่งที่เราสอน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา